31 มีนาคม 2564
นางศิษฏศรี นาคะศิริ
ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับธุรกิจออกแบบการลงทุนและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ตามที่ทราบกันดีว่า ปี 2564 เป็นปีที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากสังคมสูงอายุ (Aging Society) สู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หรือพูดง่าย ๆ ว่า เราจะพบผู้สูงอายุ 1 คน ในประชากรทุก ๆ 5 คน และจากข้อมูลที่พบคือขณะที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น แต่เงินออมเพื่อรองรับการเกษียณกลับมีไม่เพียงพอและผู้สูงอายุไม่สามารถพึ่งพิงรายได้จากบุตรหลานได้เหมือนในอดีต จึงทำให้ขาดรายได้หล่อเลี้ยงชีพและขาดความมั่นคงทางการเงิน ดังนั้น การออมเพื่อรองรับการเกษียณจึงเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บออมระยะยาวผ่านกลไกการออมการลงทุนในช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund หรือ PVD) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการออมและการลงทุนแก่ลูกจ้างเพื่อเป็นหลักประกันรองรับการเกษียณ
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบให้ธุรกิจบางรายต้องเลิกกิจการ ลดจำนวนลูกจ้าง ปรับลดเงินเดือน และยกเลิกสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด เป็นผลให้สมาชิกและนายจ้างบางกลุ่มเลื่อนหรือหยุดส่งเงินสะสมและเงินสมทบเข้า PVD รวมถึงนายจ้างบางรายจำเป็นต้องขอลดเงินสมทบ และเพื่อนสมาชิกบางท่านตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิก PVD เพื่อนำเงินที่สะสมไว้มาจุนเจือสภาพคล่องให้แก่ครอบครัว ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ละทิ้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่มีแหล่งเงินออมอื่นที่เตรียมพร้อมสำหรับใช้เลี้ยงชีพหลังเกษียณ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวล้วนส่งผลให้เป้าหมายการมี PVD เพื่อรองรับการเกษียณของกลุ่มลูกจ้างยิ่งห่างไกลออกไป
ข้อมูลสถิติในปี 2563 พบว่า สมาชิก PVD มีจำนวนน้อยกว่า 3 ล้านคน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี แม้ว่าในช่วงระหว่างปีจะมีจำนวนนายจ้างที่มี PVD เพิ่มขึ้น 513 ราย หรือ 2.6% จากปี 2562 แต่จำนวนสมาชิก PVD ทั้งระบบกลับลดลงสุทธิถึง 159,558 ราย หรือ 5.2% (ค่าเฉลี่ยปกติจำนวนสมาชิกเพิ่มปีละประมาณ 3%) ซึ่งมีทั้งสมาชิกที่ลาออกจากกองทุนแต่ยังทำงานอยู่ ลาออกจากงานไปเลยและเกษียณอายุ ส่งผลให้สัดส่วนสมาชิก PVD เทียบกับจำนวนแรงงานเอกชนในระบบ ในปี 2563 ปรับตัวลดลงเป็น 18.8% จากที่เคยอยู่ที่ 20.2% เมื่อปี 2562 นอกจากนี้ ในส่วนของนายจ้างพบว่า มีจำนวนนายจ้างขอยกเลิก PVD ทั้งที่เป็นการยกเลิกสวัสดิการหรือเลิกกิจการ จำนวน 462 ราย ซึ่งมีลูกจ้างที่อยู่ภายใต้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 18,736 ราย เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2562 ขณะเดียวกันมีนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ในครั้งนี้แต่ยังคงสวัสดิการ PVD ให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งได้ขอปรับลดอัตราเงินสะสม-สมทบลง จำนวน 517 ราย (ก.พ.-ธ.ค. 63) โดยมีลูกจ้างที่อยู่ภายใต้นายจ้างกลุ่มนี้จำนวน 78,958 ราย