29 มีนาคม 2565
นางศิษฏศรี
นาคะศิริ
ผู้อำนวยการ
ฝ่ายกำกับธุรกิจออกแบบการลงทุนและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)
เข้าสู่ปีเสือ 2565
ได้เกือบสามเดือนแล้ว เพื่อนสมาชิกบางท่านอาจยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี
2564 เรียบร้อยแล้ว
และวางแผนที่จะมีเงินออมมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ
วันนี้มีคำแนะนำดี ๆ
สำหรับเพื่อนสมาชิกที่ต้องการออมเงินและลงทุนเพื่อการเกษียณอายุผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
(provident fund: PVD) และต้องการประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปีไปพร้อมกัน
เพื่อนสมาชิกหลายท่านคงทราบดีว่าเงินสะสมที่สมาชิกนำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายเข้ากองทุนจริง
และเมื่อรวมกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณประเภทอื่น เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
(RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) แล้ว
ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี อีกทั้ง
ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อนำเงินออกจากกองทุนเมื่ออายุครบ 55 ปี และเป็นสมาชิกมาครบ 5 ปีแล้ว อย่างไรก็ดี
เพื่อนสมาชิกอาจสงสัยว่าควรวางแผนการออมการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี
ส่งเงินสะสมมากช่วยประหยัดภาษี
สำหรับเพื่อนสมาชิกที่ต้องการเก็บเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ
และไม่ได้ลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีประเภทอื่น
ควรเลือกส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็มจำนวน
จะได้นำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
โดยอัตราเงินสะสมที่สามารถนำส่งเข้ากองทุนจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน
ซึ่งเพื่อนสมาชิกสามารถสอบถามข้อมูลอัตราเงินสะสมและอัตราเงินสมทบที่จะได้รับจากนายจ้าง
รวมถึงเงื่อนไขอื่น ๆ ได้จากคณะกรรมการกองทุนหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของนายจ้างหรือศึกษาได้จากข้อบังคับกองทุน
ทั้งนี้ อัตราเงินสะสมและเงินสมทบในข้อบังคับกองทุนจะอยู่ระหว่าง 2-15% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ลงทุนยาวและสม่ำเสมอช่วยเพิ่มผลตอบแทน
การเก็บออมเพื่อการเกษียณอายุผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนระยะยาว
ยิ่งเริ่มส่งเงินเข้ากองทุนเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีเวลาเก็บออมนานขึ้นเท่านั้น
ประกอบกับการสะสมเงินอย่างต่อเนื่องทุก ๆ เดือน
จะช่วยเพิ่มพูนให้เงินกองทุนงอกเงยจนเป็นเงินก้อนโตที่เราอาจคาดไม่ถึง
ตัวอย่างเช่น สมาชิกเริ่มออมตั้งแต่อายุ 20 ปี ได้รับเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท
และเพิ่มขึ้น 2% ทุกปี
ขณะที่สมาชิกและนายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนฝ่ายละ 10%
ตั้งแต่ปีแรก โดยได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3% เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี จะมีเงินเก็บกว่า 7 แสนบาท หากเก็บเงินต่อเนื่องอีก
5 ปี เงินกองทุนจะเพิ่มเป็นประมาณ 1.1
ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5 เท่า และหากเป็นสมาชิกต่อเนื่องถึง 30 ปี เงินกองทุนจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 15 ปีที่แล้ว
เรียกได้ว่าวินัยการเก็บออมที่ต่อเนื่องจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่เติบโตสูงขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง
เลือกนโยบายการลงทุนเหมาะสมช่วยเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่เพื่อนสมาชิกควรตระหนักถึงเมื่อวางแผนเก็บเงินเตรียมพร้อมเพื่อการเกษียณคือ
การเลือกนโยบายการลงทุน
หากเลือกลงทุนในนโยบายการลงทุนที่มีแต่ความเสี่ยงต่ำเพราะไม่กล้ารับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
อาจต้องแลกกับความเสี่ยงที่จะมีเงินเก็บไม่พอใช้ในยามเกษียณอายุ ดังนั้น
หากคณะกรรมการกองทุนของบริษัทที่เพื่อนสมาชิกทำงานอยู่
จัดให้มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อนสมาชิกควรเลือกลงทุนในนโยบายที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนและตระหนักถึงโอกาสในการได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการออมได้ตามแผนที่วางไว้ เช่น
เพื่อนสมาชิกในวัยหนุ่มสาวที่ยังมีเวลาเก็บออมระยะยาวอาจเลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่านโยบายประเภทอื่น
โดยข้อมูลปี 2564
พบว่ากองทุนตราสารทุนสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 18.2%
จากปีก่อนหน้า สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (SET TRI) ซึ่งอยู่ที่ 17.7% และสูงกว่านโยบายการลงทุนประเภทอื่น อย่างไรก็ดี
ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลตอบแทนในอนาคตจะเป็นเช่นนั้น
เพื่อนสมาชิกจึงไม่ควรใช้เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน
สิ่งสำคัญคือการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในนโยบายที่หลากหลาย
เพราะหากตราสารทางการเงินประเภทอื่นมีผลขาดทุน
อาจมีตราสารทางการเงินประเภทอื่นที่มีกำไรมาช่วยชดเชยให้ผลตอบแทนรวมยังดีอยู่หรือไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก
กระจายลงทุนทั้งใน-นอกประเทศ
ในการเลือกนโยบายการลงทุน
เพื่อนสมาชิกควรพิจารณาเลือกลงทุนให้ครอบคลุมตราสารทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ
เพราะนอกจากเป็นการเพิ่มทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนแล้ว
ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในด้านต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความไม่แน่นอนและซับซ้อน
การลงทุนในตลาดการเงินเพียงแห่งเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการสร้างผลตอบแทนและการบริหารจัดการความเสี่ยง
ทั้งนี้
การลงทุนในต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปัจจุบันมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 39 กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุนเติบโตถึง 51% จากปี 2563
ซึ่งเพื่อนสมาชิกสามารถสอบถามรายละเอียดของกองทุนต่างประเทศหรือแจ้งให้คณะกรรมการกองทุนทราบถึงความสนใจที่จะลงทุนในกองทุนต่างประเทศ
เพื่อที่คณะกรรมการกองทุนจะได้ประสานกับบริษัทจัดการเพื่อคัดเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมต่อไป
อย่างไรก็ดี
หากเพื่อนสมาชิกเลือกลงทุนไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศแล้วพบว่า
ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่เป็นที่น่าพอใจหรือขาดทุน ก็อย่าตื่นตระหนกตกใจนัก
อยากให้เพื่อนสมาชิกนึกถึงเป้าหมายการออมการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า
เป็นเรื่องระยะยาว ความผันผวนในระยะสั้นย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติ
การลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นในระดับความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้
ก็อาจนำมาซึ่งผลตอบแทนในระยะยาวที่มากขึ้นได้
สุดท้ายนี้
เพื่อนสมาชิกควรเก็บออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็มสิทธิที่ได้รับจากนายจ้าง
เพื่อช่วยประหยัดภาษีระหว่างทางในแต่ละปี
พร้อมกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการเลือกนโยบายการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ
โดยอาจเลือกลงทุนในนโยบายตราสารทุนเพื่อให้มีเงินใช้เพียงพอยามเกษียณ จะได้เป็น
“เสือนอนกิน” จากน้ำพักน้ำแรงของตนที่ได้สะสมมาตลอดชีวิตการทำงานหลายสิบปี
ไม่กลายเป็น “เสือร้องไห้” ไร้เงินออมยามไร้เรี่ยวแรงแล้ว
เพื่อนสมาชิก ลูกจ้าง และท่านผู้อ่านที่สนใจ
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ได้ที่นี่ (คลิก)
รวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ที่เว็บไซต์ www.ThaiPVD.com ซึ่งมีการนำเสนอเนื้อหาในหลากหลายรูปแบบ
อาทิ บทความ คลิปและอินโฟกราฟิก
โดยมีกูรูทางการเงินที่มีชื่อเสียงมาให้ความรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ
หมายเหตุ : ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์