บทความ

สิทธิประโยชน์ของสมาชิก เมื่อเลือกออมเงินกับ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”

SHARE

 

หลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคคำพูดที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง” และนั่นยังเป็นเรื่องจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก รวมไปถึงเรื่องการเงินและเรื่องการลงทุนด้วยเช่นกัน ถ้าเราอยากมีเงินมากขึ้น อยากลงทุนแล้ว ประสบความสำเร็จ เราเองต้องเข้าใจการลงทุนนั้นให้ดีเสียก่อน เพราะว่าการไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองกำลังจะลงทุนนั้นถือว่ามีความเสี่ยงมากที่สุด 

แต่สำหรับพนักงานเงินเดือนอย่างพวกเราที่ต้องการมีเงินล้าน ณ วันที่เกษียณ สิ่งหนึ่งที่ต้อง “รู้เขา รู้เรา” ทั้งก่อนเราเป็นพนักงานและหลังเข้ามาเป็นพนักงาน นั่นก็คือ ต้องรู้จักสิทธิต่าง ๆ ของสวัสดิการที่เราจะได้รับ เช่น "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund” เพื่อให้เราได้ประโยชน์สูงสุด 

ก่อนเข้าทำงาน เราต้องรู้ว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund นั้น เป็นสวัสดิการแบบไหน และมีประโยชน์อย่างไร ไม่อย่างนั้นเราอาจจะสงสัยได้ว่า ทำไมเงินเดือนที่เราได้มานั้นต้องโดนหักไปทุก ๆ เดือน

“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund” คือ กองทุนที่นายจ้างและ บลจ. จัดตั้งขึ้นให้กับลูกจ้างเพื่อเป็นสวัสดิการให้ลูกจ้างมีเงินใช้หลังเกษียณ โดยลูกจ้างสามารถเลือกจ่าย "เงินสะสม" ได้ตั้งแต่ 2%-15% ของเงินเดือน ซึ่งนายจ้างจะจ่าย “เงินสมทบ” เพิ่มให้อีกตามนโยบายของบริษัท ถือเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจกว่าการลงทุนรูปแบบอื่นตรงที่ “เงินสมทบจากนายจ้าง” เปรียบเสมือนเราได้เงินจากบริษัท “เพิ่ม”

นอกจากนี้ เงินที่เราสะสมเข้าไปในกองทุนนั้นก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย เหมือนเป็นตัวช่วยให้เรามีเงินออมมากขึ้นไปอีก

จุดเด่นของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund

1. ได้เงินสมทบจากนายจ้าง
2. สร้างวินัยการออมให้ลูกจ้าง โดยออมก่อนใช้จ่าย
3. ช่วยให้ลูกจ้างมีเงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ
4. ลูกจ้างสามารถนำเงินที่สะสมไปหักลดหย่อนภาษีได้
5. บริหารโดยมืออาชีพ มีนโยบายการลงทุนหลากหลายทั้งในและต่างประเทศ

   

คราวนี้เรามาดูกันต่อว่า...
เมื่อเข้ามาอยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว สิทธิต่าง ๆ ที่เราควรทราบคืออะไร


1. เงินสะสมเราสามารถเพิ่ม หรือลดลงได้

เงินสะสมของพวกเราที่นำไปรวมกับเงินสมทบของนายจ้าง จะถูกนำไปลงทุนเพื่อให้เงินนั้นงอกเงยมากขึ้น โดยเราเองก็สามารถปรับจำนวนเงินที่สะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้ตั้งแต่ 2%-15% ของเงินเดือน แน่นอนว่าถ้าเราสะสมเงินมากขึ้น ก็จะมีเงินใช้ยามเกษียณมากขึ้นไปด้วย ใครที่มีเงินเหลือจากการใช้จ่ายรายเดือน แนะนำให้สะสมให้มากที่สุด เท่าที่เราจะสามารถออมไหว ซึ่งจำนวนเงินตรงนี้ก็ขึ้นกับนโยบายของบริษัท ว่าจะให้ปรับได้ปีละกี่ครั้งและกำหนดเพดานเงินสะสมหรือไม่

2. เงินสมทบมีลักษณะอย่างไร?

สำหรับเงิน “สมทบ” ที่บริษัทให้นั้น ก็จะขึ้นกับนโยบายของบริษัท ว่าเป็นแบบคงที่ตลอดอายุงานของพนักงาน หรือจะเพิ่มให้สูงขึ้นตามอายุงานก็ได้ครับ เช่น 

ทำงานปีที่ 0-3 บริษัทจะสมทบเงินให้ 3%

ทำงานปีที่ 3-5 บริษัทจะสมทบเงินให้ 5%

ทำงานปีที่ 5-7 บริษัทจะสมทบเงินให้ 7% 

และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามปีที่ทำงานสูงสุดคือ 15% กันเลยทีเดียว

ตัวอย่าง นาย A  มีเงินเดือน 20,000 บาท 

นาย A ต้องเลือกก่อนว่าจะสะสมเงินกี่ % เช่น นาย A อาจจะเลือก 5% ดังนั้น เงินเดือนที่ได้มา ก็จะถูกเก็บออมไว้ 1,000 บาททุกเดือน โดยเหลือเงินไว้ใช้ประมาณ 19,000 บาท 

ในส่วนของเงินสมทบที่บริษัทให้มา จะเป็นดังนี้

 - ถ้าทำงานในปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 : บริษัทจะทยอยสะสมให้กับนาย A ทุกเดือน เดือนละ 3% คือ 600 บาท

 - ถ้าทำงานในปีที่ 3 ถึงปีที่ 5 : บริษัทจะทยอยสะสมให้กับนาย A ทุกเดือน เดือนละ 5% คือ 1,000 บาท

 - ถ้าทำงานในปีที่ 5 ถึงปีที่ 7 : บริษัทจะทยอยสะสมให้กับเราทุกเดือน เดือนละ 7% คือ 1,400 บาท

และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามปีที่ทำงาน จากนั้นทั้งเงินสะสมและเงินสมทบก็จะถูกนำไปบริหารลงทุนให้เราได้ผลตอบแทน หรือที่เราเรียกว่า “ผลประโยชน์” ขึ้นมา

3. สิทธิการได้เงินสมทบ 

ในส่วนของเงินสมทบจากข้อที่ 2 ถ้าลูกจ้างลาออกก่อนครบเงื่อนไข ก็อาจจะได้เงินมาไม่เต็มจำนวน ซึ่งจะได้จำนวนมากหรือน้อยก็ขึ้นกับอายุงานที่กฎระเบียบของบริษัทระบุไว้


ตัวอย่าง
อายุงาน                                                อัตราเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ
                                                     ที่กองทุนจะจ่ายเมื่อสมาชิกสิ้นสุดสมาชิกภาพ
น้อยกว่า 1 ปี 0%
ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2 ปี 20%
ตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 3 ปี 40%
ตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 4 ปี 60%
ตั้งแต่ 4 ปี ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5 ปี 80%
ตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป         100%

นาย A ทำงานมาแล้ว 4 ปี มีเงินสะสมจากเงินเดือนตัวเอง 100,000 บาท และมีเงินสมทบจากบริษัท 100,000 บาท แต่บังเอิญว่าลาออกมาก่อนครบ 5 ปี ตามเงื่อนไข คือ นาย A จะได้เงินสมทบเพียงแค่ 80% คือ 80,000 บาท เมื่อรวมกับเงินสะสมที่ตัวเองมีก็จะเป็น 180,000 บาท 

4. เข้าใจสิทธิแผนการลงทุน Employee’s Choice คืออะไร ?

เราแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “ลูกจ้างเลือกลงทุน” หรือ เป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนสามารถเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองได้ เพราะว่าสมัยก่อน กองทุนแต่ละกองจะมีเพียง 1 นโยบาย ลูกจ้างจึงไม่มีตัวเลือก นายจ้างกำหนดนโยบายใดไว้ก็ต้องเลือกลงทุนแบบนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตราสารหนี้ทำให้ลูกจ้างบางกลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ในระดับสูงได้ กลับเสียโอกาสที่อาจจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าและการมีเงินเกษียณที่เยอะขึ้น

ในปัจจุบัน มีนายจ้างหลายรายที่จัดตั้งกองทุนโดยมีนโยบายที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเลือกแผนการลงทุนที่มีทั้งความเสี่ยงต่ำ เสี่ยงกลาง หรือเสี่ยงสูง ในแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง บางรายยังเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถผสมสัดส่วนการลงทุนได้เองด้วย

5. ควรทราบถึงสิทธิอื่น ๆ ที่จะช่วยรักษาผลประโยชน์ของเรา


5.1 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้ ใครเป็นคนบริหารจัดการ และ มีนโยบายอะไรให้ลงทุนบ้าง

สิ่งแรกที่เราต้องทราบ คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ใดเป็นผู้ดูแลเงินก้อนนี้ ผู้จัดการกองทุนเป็นใคร มีประสบการณ์ในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ผลตอบแทนของกองทุนที่ผ่านมาดีกว่ากองทุนอื่น ๆ หรือไม่ มีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ แพงไปไหมเมื่อเทียบกับ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่อื่น 

ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ เนื่องจากเป็นส่วนที่ทำให้เงินของกองทุนมีโอกาสเติบโตได้ หาก บลจ. ที่เราใช้บริการอยู่บริหารจัดการลงทุนได้ไม่ดี ในฐานะเจ้าของเงินพวกเราต้องช่วยกันพิจารณาในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ บลจ. ที่ดีเข้ามาดูแลให้เงินที่เราเก็บออมมาลงทุนเพื่อการเกษียณนั้นเติบโตงอกเงยได้อย่างคุ้มค่า

นอกจากนี้ เราเองก็ยังต้องทราบด้วยว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเรามีกี่นโยบายให้เราเลือก เพราะว่ายิ่งมีแผนให้เราเลือกได้มาก ก็จะเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงของแต่ละคน สร้างโอกาสให้พวกเราได้เลือกแผนลงทุนที่เหมาะกับตนเองมากขึ้น

5.2 พนักงานต้องเข้าใจเรื่องการลงทุน และสิทธิในการปรับแผนการลงทุน

ก่อนที่จะเลือกแผนการลงทุน เพื่อรักษาสิทธิของเรา พนักงานอย่างพวกเราก็ควรทำความเข้าใจ “การลงทุน” ด้วยเหมือนกัน เช่น การลงทุนตราสารหนี้, การลงทุนในหุ้น รวมไปถึงสินทรัพย์ลงทุนต่าง ๆ เช่น ทองคำ อสังหาฯ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในต่างประเทศด้วย อาจจะไม่ต้องลงรายละเอียดมากนัก เพราะว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแล แต่เราก็ควรเข้าใจเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนเบื้องต้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง 

โดยการปรับ “แผนการลงทุน” หรือ “การปรับสัดส่วนการลงทุน” นั้น จะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดในนโยบายของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่ละที่ บางกองทุนเปิดให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกปี และ บลจ. ส่วนใหญ่จะมี application และ website ให้เราสามารถเข้าไปดูเงินสะสม เงินสมทบ ผลตอบแทน และนโยบายที่เลือกลงทุนได้

5.3 ต้องทราบว่าใครเป็นกรรมการกองทุนบ้าง?

อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเราต้องการทราบข้อมูลรายละเอียด หรือสิทธิประโยชน์ที่เรามี หรือว่าต้องการเพิ่มเติมแผนการลงทุนของเราให้มีรายละเอียดมากขึ้นเราจะได้แจ้งให้ทางกรรมการกองทุนทราบได้ เพื่อรักษาสิทธิของพวกเรา

นอกจากนี้สิทธิของพนักงานยังรวมไปถึงการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งกรรมการกองทุนฝ่ายลูกจ้างได้ ดังนั้น หากมีเพื่อนพนักงานคนไหนที่มีความรู้และเข้าใจเรื่องการเงินการลงทุน เราก็สามารถออกเสียงให้เพื่อนของเราเข้าไปช่วยรักษาสิทธิต่าง ๆ ให้กับทุกคนได้ เช่น การออกเสียงเลือกผู้บริหารจัดการกองทุน เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากการลงทุนที่ดีที่สุด

และเราเองก็ควรจะเข้าร่วมการประชุมสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อจะได้ทราบว่าบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนำเงินของเราและเงินสมทบของบริษัทไปลงทุนในสินทรัพย์อะไร มีโอกาสเติบโตมากน้อยแค่ไหน และดูแล้วมีข้อควรระวังอะไรบ้าง จะยิ่งช่วยให้เราเข้าใจการลงทุนมากขึ้น รวมไปถึงการเลือกแผนการลงทุนให้เหมาะกับเราได้นั่นเอง นอกจากนี้ การเข้าร่วมประชุมอาจมีการลงมติแก้ไขข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของเรา เช่น อัตราเงินสะสมและเงินสมทบหรือเงื่อนไขการได้รับเงินหากออกจากงาน ดังนั้น พวกเราควรเข้าประชุมทุกครั้งเพื่อรักษาสิทธิของเราเอง

6. หากเราต้องออกจากกองทุน เรามีทางเลือกอะไรบ้าง มีสิทธิอะไรบ้าง?


หลายคนเมื่อทำงานไปได้สักพัก บางคนก็ถึงเวลาที่จะต้องเติบโตในหน้าที่การงาน มีการย้ายบริษัท บางคนมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ต้องลาออกก่อนที่ตั้งใจไว้ หรือบางคนก็ใกล้ถึงเวลาเกษียณแล้ว 

จึงควรทราบและทำความเข้าใจกันก่อนว่าเมื่อออกจากงาน จะได้รับเงินอย่างไร เมื่อไหร่ที่จะได้รับเงิน และที่สำคัญคือ มีทางเลือกในการออกจากกองทุนอย่างไรบ้าง เพื่อรักษาสิทธิ์ต่าง ๆ ของเราให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากที่สุด เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีด้วย ยิ่งหากเราต้องออกจากงานเร็ว เงินบางส่วนของเราจะต้องมีการนำไปเสียภาษีด้วย ซึ่งต่างจากถ้าเราทำงานจนเกษียณและถอนเงินตามเงื่อนไขเราจะได้รับการยกเว้นภาษี 

แต่ก่อนที่เราจะเสียภาษี เราต้องได้เงินก่อนใช่มั้ย กฎหมายกำหนดว่าหากเราออกจากกองทุน จะต้องได้รับเงินภายใน 30 วัน ดังนั้น ควรรีบแจ้งคณะกรรมการกองทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ และเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อมด้วยนะ

การลาออก
กรณีที่ 1
เงื่อนไข
 - การลาออกจากกองทุน แต่ไม่ลาออกจากงาน
 - ลาออกจากงานอายุงาน < 5 ปี
ผลที่ได้รับ คือ ไม่สามารถใช้สิทธิแยกคำนวณภาษี ต้องนำเงินที่ได้รับไปคำนวณภาษีเงินได้ทั้งจำนวน

กรณีที่ 2
เงื่อนไข ลาออกจากงานและอายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
ผลที่ได้รับ คือ นำเงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปคำนวณเพื่อเสียภาษี โดยสามารถแยกยื่นจากการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายเท่ากับ 7,000 บาท คูณอายุงาน (ปี) เมื่อลบกันแล้ว เหลือเท่าไหร่ให้นำมาหักค่าใช้จ่ายได้อีก 50% หลังจากนั้นนำจำนวนเงินที่เหลือไปคำนวณภาษีในอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่เงินก้อนนี้จะไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้น 150,000 บาทแรกเหมือนการคำนวณตามวิธีเงินได้สุทธิ

ตัวอย่าง 
นาย B ได้รับเงินจากกองทุนมา 500,000 บาท ด้วยอายุงาน 15 ปี
เงินก้อนนี้นำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 500,000 – (7,000x15ปี) = 395,000 บาท
จากนั้นก็นำ 395,000 นั้นมาหักค่าใช้จ่ายได้อีกครึ่งหนึ่ง 395,000/2 = 197,500บาท
 และนำเงิน 197,500 บาท ไปคำนวณภาษี โดยจะเสียในอัตรา 5% หรือเท่ากับ 9,875 บาท
เพราะเงินก้อนนี้ไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้น 150,000 บาทแรกนั่นเอง


ส่วนเงื่อนไขอื่น ๆ ที่จะได้รับเงินสบทบ และผลประโยชน์ 100% เต็ม และไม่เสียภาษีด้วยก็มี เช่น พนักงานที่พ้นจากการเป็นลูกจ้างด้วยเหตุเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือ เกษียณอายุ โดยเราสามารถตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ที่กรรมการกองทุน และ บลจ. ที่ดูแลกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเราครับ

นอกจากนี้ เมื่อเราออกจากงาน ย้ายงาน เราสามารถคงเงินไว้ในกองทุนได้ โดยยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ของกองทุนอีกด้วย

เพราะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ลาออกจากงานแล้ว สามารถคงเงินในกองทุนได้ โดยเราสามารถเอาเงินก้อน ที่เราได้สะสมไว้ คงไว้ในกองทุนอย่าง "ไม่มี ลิมิต ชีวิตเกินร้อย" คือ คงเงินไว้ได้นานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องบอกกับทาง บลจ. ว่าจะคงไว้กี่ปี และต้องไม่ขัดกับข้อบังคับของกองทุนด้วย เมื่อเริ่มงานที่ใหม่ และหากที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราก็สามารถย้ายเงินก้อนนี้ไปที่ทำงานใหม่ได้ด้วยเช่นกัน

จุดที่ดีก็คือ ระหว่างที่กองทุนทำงานทำเงินให้เรานั้น ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากเงินที่เราเอาไว้ในกองทุนนั้น เราจะยังคงได้รับอย่างต่อเนื่อง เช่น เราได้ 100 บาท ณ วันที่เราลาออก แต่เราคงเงินไว้ในกองทุน ผ่านมา 3 ปี เราอาจจะได้รับเงินเพิ่มเป็น 150 บาท หากกองทุนทำผลตอบแทนได้ดี

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถเปลี่ยนไปเป็นกองทุน RMF ได้

ถ้าเราลาออกจากบริษัท แล้วไม่ต้องการคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ไม่ต้องการเสียภาษี สิ่งที่เราทำได้คือ
ย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รองรับ (RMF for PVD) โดยเงินก้อนนี้เราไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด แถมยังให้เงินทำงานต่อเนื่องอีกด้วย แต่จะต้องคงไว้ (ห้ามจำหน่ายหรือโอน) จนอายุครบ 55 ปีจึงจะได้ผลประโยชน์เต็มร้อย

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจ่ายเงินให้กับสมาชิกเป็นงวด ๆ ไปได้หลังการเกษียณ


อันนี้เรียกได้ว่าเป็น “ระบบบำนาญ” ของพนักงานเอกชนได้เลย คือ เราสามารถที่จะบอกกับทางกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ว่า ให้เอาเงินที่เราสะสมไว้ในกองทุนนั้นทยอยส่งให้ทุก ๆ เดือน หรือทุก ๆ ปีก็ได้ ขึ้นกับข้อตกลง (มีค่าธรรมเนียมรายปีไม่เกิน 500 บาท) ที่สำคัญคือกองทุนยังคงทำงานให้กับเรา อย่างน้อยก็มีคนคอยบริหารเงินให้กับเราได้แม้ว่าจะอยู่ในภาวะการเกษียณ แล้วก็ตาม

บทความอื่น ๆ

บทบาทบริษัทจัดการ สะท้อนทุกบททุกบาทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

บริษัทจัดการทุกรายนอกเหนือจากการบริหารจัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามนโยบายการลงทุนที่สมาชิกเลือกไว้แล้ว ยังมีบทบาทอื่นอย่างไรอีก

Q&A กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อมีคำถามมาก็มีคำตอบไป

เมื่อวันพุธที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา สำนักงาน ก.ล.ต. ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นายจ้างให้ นายจ้างได้ ลูกจ้างมั่นคง” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้เข้าร่วมงานสัมมนากว่า 380 ราย ภายในงานสัมมนามีผู้สนใจสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกับทางเลือกในการออมภาคบังคับ

การมีระบบการออมภาคบังคับจะช่วยตอบโจทย์การเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ของไทย และบรรเทาปัญหาเรื่องคนไทยขาดการวางแผนทางการเงินและมีเงินเก็บไม่เพียงพอยามเกษียณ 

ดูทั้งหมด